สิ่งศักดิ์สิทธ์ก็คือ จักรพรรดิ ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำยุคแรกๆ จะใช้คำว่า “กายสิทธิ์”
ในความหมายของจักรพรรดิ
ต่อมา เมื่อความรู้มากขึ้นแล้ว
จึงแบ่งความหมายออกเป็น 2 กลุ่มคือ จักรพรรดิ กับ
กายสิทธิ์
จักรพรรดิแบ่งตามอำนาจและบารมีเป็น
3 ประเภท คือ จุลจักรพรรดิ มหาจักรพรรดิ และบรมจักรพรรดิ
กายสิทธิ์
คือ จักรพรรดิที่ยังมีบารมีน้อยอยู่ บารมียังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นจักรพรรดิทั้ง
3 ประเภทดังกล่าวได้
บทความนี้
ผมไม่ได้เขียนขึ้นเอง แต่ไปพบในที่นี่ http://www.navagaprom.com/ ซึ่งน่าจะเป็นพวกมหายาน
ซึ่งอ่านคร่าวๆ แล้วก็มีผิดบ้าง ถูกบ้าง
เว็บดังกล่าว
นับถือวิชาธรรมกายด้วย
นับถือมหายานด้วย ก็ลองอ่านกันดูว่า
เมื่อมหายานเอาวิชาธรรมกายไปเผยแพร่ จะถูกต้องตรงเผง หรือมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้าง
กายสิทธ์ คืออะไร? มีความสำคัญต่อการเจริญวิชชาธรรมกายอย่างไร?
กายสิทธิ์ในวิชชาธรรมกาย เรียกว่า ภาคผู้เลี้ยงมนุษย์
ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงมนุษย์ มีหน้าที่เลี้ยงดูพิทักษ์รักษาพวกกายมนุษย์
พวกกายสิทธิ์มีรูปร่างคล้ายพระ พุทธรูปทรงเครื่อง
มีดวงแก้วเป็นเรือนอาศัย กล่าวโดยย่อ มี ๓ ขั้น คือ
๑. จุลจักร
พร้อมทั้งบริวารมีหนาที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีอย่างต่ำ
๒. มหาจักร
พร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีชั้นกลาง
๓. บรมจักร พร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์
ที่มีบารมีชั้น สูง
มนุษย์คนหนึ่งๆ มีจักรพรรดิทั้ง ๓ พร้อมบริวารชุดหนึ่งๆ เป็นผู้เลี้ยง
และอาจผลัดเปลี่ยนกันรักษาไปตามคราว ๆ เป็นต้นว่า...
คราวใดจุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีทรัพย์สมบัติและความสุขน้อย
คราวใดมหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีทรัพย์สมบัติและความสุขมัชฌิมา
คราวใดบรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา
ก็มีสมบัติและความสุขบริบูรณ์ทุกประการ
ไม่เลี้ยงรักษาแต่เฉพาะกายมนุษย์เท่านั้น
สิ่งไม่มีวิญญาณก็สมบูรณ์เหมือนกัน
ถึงแม้สมัยยุคของโลกก็เลี้ยงทั่วไปเป็นสาธารณะเหมือนกัน
ถ้ายุคใดสมัยใด จุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาโลกก็มีความสุขน้อย
สมบัติและอาชีพต่างๆ ก็อัตคัดกันดารไม่สมบูรณ์
ถ้ายุคใดสมัยใดมหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุข
เป็นมัชฌิมาทรัพย์สมบัติและเครื่องกินเครื่องใช้ก็พอปานกลางไม่ฟุ่มเฟือยนัก และ
ไม่กันดารนัก พอปานกลาง
ถ้ายุคสมัยใด
บรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็บริบูรณ์ไปด้วยความ สุขทุกประการ ทรัพย์สมบัติ
วิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ก็หาได้ง่าย มั่งคั่งสมบูรณ์ไปตามๆ กัน
ไม่เบียดเบียนกัน
จักรทั้ง ๓ กับบริวารที่กล่าวมานี้
เฉพาะกายมนุษย์ส่วนกายอื่นๆ ก็มีจักรทั้ง
๓
กับบริวารเลี้ยงรักษามีประจำสำหรับทุกกายไปตลอดจนกายสุดหยาบ
สุดละเอียดเท่ากันเหมือนกัน
ถ้าเลี้ยงกายไหน รูปพรรณสัณฐาน ร่างกายก็เหมือนกายนั้น เช่น จักรเลี้ยงกายมนุษย์และกายทิพย์
เลี้ยงกายปฐมวิญญาณหยาบ เลี้ยงกายปฐมวิญญาณละเอียด
เลี้ยงกายธรรมเป็นต้นก็มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนกับกายนั้นๆ
แต่ทว่าดีกว่า ใสกว่ากายนั้น ๆ
ส่วนรูปร่างเหมือนกับกายที่เลี้ยงนั้น ตลอดจนกายสุดหยาบสุดละเอียด
จักรทั้ง ๓ นั้น เหตุใดจึงเรียกนามว่า จักร คือ
กายสิทธิ์มีตัวอยู่ในดวงแก้ว ดวงแก้วนั้นเป็นบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัยของเขา
เหมือนมนุษย์อาศัยอยู่บ้านเรือน
ภายในดวงแก้วนั้นมีรัตนะเจ็ด คือ แก้ว ๗ ประการ ดังต่อไปนี้
จักรแก้ว ๑
ช้างแก้ว ๑
ม้าแก้ว ๑
ดวงแก้วมณี ๑
นางแก้ว ๑
คฤหบดี (ขุนคลัง) แก้ว
๑
ขุนพลแก้ว ๑
ในแก้ว ๗ ประการนี้ จักรแก้วเป็นใหญ่ เป็นประธานในแก้ว ๗ ประการ ทั้งหลายเหล่านั้น ในแก้ว ๗
ประการ เป็นตัวอำนาจมีสิทธิให้สำเร็จ
อำนาจและเกิดการน้อยใหญ่ ดุจดังมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่ เป็นผู้สำเร็จราชการทั้งปวง เพราะเหตุนี้แหละ
จักรทั้ง ๓ นั้นจึงได้นามว่า “จักร”
ความแตกต่างกันของจักรทั้ง ๓ นั้นคือ
จุลจักร เป็นดวงแก้วกลมใส สะอาด บริสุทธิ์ ประณีต มีฤทธิ์อำนาจและบริวารน้อยกว่าแก้วมหาจักร
มหาจักร เป็นดวงแก้วกลมใส สะอาดบริสุทธิ์ ประณีตกว่าจุลจักร มีฤทธิ์อำนาจบริวารมากกว่าจุลจักร
บรมจักร เป็นดวงแก้วกลมใส
ขาวสะอาดบริสุทธิ์ประณีตกว่าแก้วมหาจักร มีฤทธิ์อำนาจและบริวารมากกว่าจุลจักรและมหาจักร
กายหนึ่งๆ
ก็มีจุลจักร มหาจักร บรมจักร
พร้อมทั้งบริวารเป็นผู้เลี้ยง มีประจำไปเช่นนี้ทุกกาย กายละพวกๆ
จนสุดหยาบสุดละเอียด
ผู้เลี้ยงก็มีไปจนสุดหยาบสุดละเอียดของกายผู้เลี้ยงเหมือนกัน
ขนาดของจักรทั้ง ๓ กับแก้วบริวาร คือ
๑) แก้วจุลจักร
และบริวาร
ขนาดตั้งแต่เล็กเท่าแววตาดำขึ้นไป
จนถึงโตเท่าผลมะตูม หรือผลมะขวิด
๒) แก้วมหาจักร
และบริวาร
ขนาดผลตาลขึ้นไปจนถึงผลมะพร้าวแห้ง
๓) แก้วบรมจักร
และบริวาร
ขนาดตั้งแต่เท่าบาตรขึ้นไปจนถึงโตเท่าตะแกรงหรือเท่ากระด้ง
พวกผู้เลี้ยงหรือที่เรียกว่า พวกกายสิทธิ์นี้ ก็มีธาตุตายธรรมตาย
เป็นต้นว่า ภพเป็นที่อยู่เหมือนกับพวกมนุษย์เช่นเดียวกัน
ธาตุเป็น ธรรมเป็น ก็มีเหมือนกายมนุษย์ คือ มีกาย
ใจ จิต วิญญาณ รวมเป็น ๔
อันเป็นที่ตั้งของเห็นจำคิดรู้ มีธาตุคือ ธาตุเห็น ธาตุจำ ธาตุคิด ธาตุรู้ รวมเป็น
๔ และมีดวงคือ ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด
ดวงรู้ อีก ๔ รวมเป็น ธาตุ ๑๒ ธรรม ๑๒
(ที่กล่าวมานี้ ปรากฏอยู่ใน หนังสือวิชชามรรคผลพิสดาร เล่ม ๒
ของหลวงพ่อวัดปากน้ำซึ่งเป็นตำราวิชชาธรรมกายขั้นสูง)
|
ในส่วนนี้
เว็บ http://www.navagaprom.com/
ลอกเอามาลงเฉยๆ ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติมหรือดัดแปลงใดๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น