บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

หินบำบัดโรคจริงหรือไม่ 2



ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหินบำบัด ระบุว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว หินใช้เยียวยาโรคที่เกี่ยวข้องกับสภาวะจิตใจได้ดี ที่สำคัญยังแนะนำด้วยว่า ควรใช้หินบำบัด ควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบันค่ะ

“โรคส่วนใหญ่ที่ใช้หินบำบัดมักจะเป็นโรคทางใจ ไม่ใช่โรคทางกาย อย่างอาการเครียด ปวดหัว นอนไม่หลับ อกหัก รักเป็นพิษ แบบนี้จะเป็นโรคที่เห็นชัดเจนว่าหินบำบัดได้

หรืออย่างเช่น ในคนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เมื่อมาใช้หินบำบัด เราจะบอกไว้เลยว่า หินไม่ได้รักษาให้มะเร็งหาย แต่หินจะช่วยบำบัดใจให้ลุกขึ้นสู้เท่านั้น

ซึ่งแม้จะไม่ได้ช่วยรักษาที่ตัวร่างกายแบบเห็นได้ชัด แต่เรื่องของการรักษาจิตใจนั้นสำคัญมาก เพราะพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสว่า ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

เพราะฉะนั้นถ้าเราบำบัดจิตใจของผู้ป่วยให้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้น เขาอาจจะมีแรงใจที่ดี ที่จะทำให้ต่อสู้กับโรคร้ายได้ แต่เราก็จะบอกเสมอว่า การใช้หินในการบำบัดโรคนี้ ให้ใช่ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน

คือให้หินช่วยในเรื่องเสริมจิตใจให้ดีขึ้น พอจิตใจดีร่างกายก็จะได้ดีขึ้นตาม”

คุณจุฑามาศ ณ สงขลา พยายามโยงมาถึงศาสนาพุทธว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” แล้วก็บอกว่า หินรักษาได้เฉพาะโรคทางใจ 

ถ้าผมเป็นคนเขียนบทความ ผมก็จะถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ปฏิบัติธรรมเสียเลย จะไม่ดีกว่าหรือ  จะต้องมาเสียเงินซื้อหินทำไม

กูรูเรื่องหินของเรา ย้ำด้วยว่า หากต้องการให้ การใช้หินบำบัดโรคได้ผลดี สิ่งสำคัญประการแรกคือ ผู้ใช้ต้องมีความเชื่อเสียก่อน

ตรงนี้ ผมก็ไม่รู้คนเขียน จะเขียนมาทำไม หรือจะเน้นมาทำไม

ไม่ต้องถึงกับเรื่อง “หินบำบัด” หรอก  โรคทางกายนี่แหละ  คนไข้ก็ต้องเลือกไปหาหมอที่เขามั่นใจว่ารักษาโรคเขาได้

เขาก็ต้องเชื่อก่อนทั้งนั้น  ถ้าไม่เชื่อว่า หมอรักษาโรคเขาได้ เขาก็จะไปหาวิธีรักษาแบบอื่น หรือไปหาหมอคนอื่นกัน

*วิธีดูแล - ใช้หินให้เปี่ยมพลังสูงสุด

-หินมีคุณสมบัติดูดพลังด้านลบออกจากร่างกาย หินจึงสะสมพลังด้านลบเอาไว้ในเนื้อหิน จึงต้องมีการล้างหินเพื่อนำพลังด้านลบออก (หากรู้สึกไม่สบายใจ หรืออยากล้างเมื่อไหร่ก็ให้ล้าง)

โดยทำได้หลายวิธีเช่น

1. ถือไว้ในฝ่ามือแล้วเปิดให้น้ำไหลผ่าน
2. แช่น้ำเกลือ ทิ้งไว้ 30-60 นาที
3. ใช้ธูป 1 ดอก วนไปรอบๆ หินจนธูปหมดดอก
4. นำไปฝังทราย แล้วตากแดด ตากลม ก่อนล้างด้วยน้ำเปล่า

-เมื่อซื้อหินมาใหม่ อย่าเพิ่งใส่ ควรนำไปล้างเพื่อให้พลังด้านลบ ที่ติดอยู่ภายในหินหมดไปเสียก่อน (ล้างหินตามวิธีข้างต้น)

ตรงนี้ ผมก็ว่า “มั่ว” อีกเช่นเดียวกัน  มันชักจะบ้าไปกันใหญ่

กรรมวิธีต่างๆ ที่เขียนไปนั้น  “บ้า” ทั้งนั้น เป็นการสร้างพิธีกรรมขึ้นมาเพื่อให้ดูว่า “หิน” ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเท่านั้น

- เมื่อต้องการขอพลังจากหิน ควรสัมผัสหินทุกครั้ง เช่น หากปวดหัวก็ลูบที่หิน ใช้จิตสื่อถึงหินให้ช่วยบรรเทาความปวดนั้น

- แนะนำให้ใส่หินบำบัดไว้ที่ข้อมือซ้าย (เนื่องจากตรงกับชีพจร) หรือหากจะพกแบบก้อนเล็กๆ ติดตัว ควรนำหินใส่ไว้ในถุงผ้าที่เปิดง่าย

อย่าใช้ถุงพลาสติก หรือถุงซิปล็อก เพราะการใส่ไว้ในถุงที่ไม่ระบายอากาศจะเป็นการปิดกั้นพลังของหิน

น่าน................. ห้ามใช้พลาสติก เดี๋ยวพลังหินออกมาไม่ได้   บ้าไปกันใหญ่ ทำไมไม่บอกไปเลยว่า เดี๋ยวพลังหินขาดใจตาย

บทความนี้ ได้บอกถึงคุณสมบัติของหินประเภทเหล่านี้ด้วย  คือ หินสีเขียว ไหมทอง หินสีแดง หินสีส้ม โรโดไนท์  หินสีน้ำเงิน หินสีม่วง


แต่ผมไม่ได้นำมาลง เพราะ มันเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องโกหกเพื่อขายของเท่านั้น

กลับมาถึงวัตถุประสงค์ของบทความทั้ง 2 บทความนี้  ผมขอยืนยันว่า หินบำบัดโรคเป็นเรื่องโกหกเป็นไปไม่ได้

ที่ว่าเป็นไปไม่ได้นั้น ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางศาสนา  ในทางวิทยาศาสตร์วงการแพทย์นั้นไม่รับอยู่แล้ว  ส่วนในทางศาสนามีคำอธิบายในวิชาธรรมกายดังนี้

หินต่างๆ นั้น  จะมีจักรพรรดิอยู่ (ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์)  จักรพรรดิมี 7 ประเภท คือ

1. จักรแก้ว
2. ช้างแก้ว
3. ม้าแก้ว
4. แก้วมณี
5. นางแก้ว
6. ขุนคลังแก้ว
7. ขุนพลแก้ว

ไม่มีประเภทไหนเลย ที่รักษาโรคได้  จักรพรรดิแต่ละประเภทมีหน้าที่อื่นๆ ทั้งสิ้น 

ผมรู้จักจักรพรรดิเป็นอย่างดี  ตามวิดิโอด้านบนนั้น ผมก็สอนให้นักเรียนดูจักรพรรดิในเพชรพญานาค กับโป่งข่าม

คนถ้าจะหายจากโรค ก็ด้วย “กำลังใจ” ของเขาเอง ซึ่งถ้าบุญมาวาสนาส่ง โรคภัยไข้เจ็บ ประเภทที่หายเองได้ มันก็หายไปเอง

สุขสบายอยู่ดี ถึงคราวเคราะห์หามยามร้าย  โรคทั้งหลายมันก็มาเยือน  โรคทำนองนี้ หมอก็รักษาไม่หายเสียด้วย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น