บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เคล็ดบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์


ในเว็บของ “บูชาครูบาอาจารย์ ธ.ธรรมรักษ์” มีบทความเรื่อง “เคล็ดบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ผล”  เรามาลองดูซิว่า เนื้อหาของบทความจะเป็นอย่างไร ทำตามแล้วจะได้ผลหรือไม่

สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดขึ้นมาจาก “จิตที่มีพลังบุญบารมี” ที่มาการสร้างสมบุญมาเป็นระยะเวลายาวนานในหลายภพหลายชาติ

เป็นพลังยิ่งใหญ่มีอยู่ในจิตบริสุทธิ์หรือจิตละเอียดของผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือเป็นฆราวาส พรหมเทพเทวดาทั้งหลาย ในสัตว์ ในคนทุกคน ในธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ หากจิตมีความละเอียดบริสุทธิ์แล้วย่อมนับได้ว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งสิ้น

แปลความได้ง่ายๆ ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่มี “บุญบารมีและมีความบริสุทธิ์อยู่ในตัว” นั่นจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ที่จะมีพลังอำนาจแห่งบุญนั้นและท่านเหล่านั้นสามารถที่จะแบ่งปันบุญไปให้ช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย


อ่านแค่นี้ ก็พบความมั่ว ความไม่รู้ของคนเขียนบทความนี้แล้ว  คนเขียนบทความไม่รู้ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออะไร” 

ที่เขียนออกมานั้น ก็เขียนมั่วๆ ไป เพราะ คนอ่านนั้น “ไม่รู้มากกว่าคนเขียน”  เขียนอะไรไป คนอ่านก็ไม่รู้เรื่อง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธคือ “จักรพรรดิ”  ดังรูปด้านบน

จักรพรรดิมีหน้าที่ดูแลศาสนาพุทธ  คนไทยรู้จักจักรพรรดิมานานแล้ว  จึงสร้างเป็นพระประธานในโบสถ์บ้าง เป็นพระบูชาบ้าง

คนต่อมารุ่นหลังไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงเรียกว่า “พระทรงเครื่อง

ถ้าถามว่า “จักรพรรดิ” คืออะไรอีก  ก็ต้องบอกว่า จักรพรรดิคือ “ใจ-จิต-วิญญาณ” ที่ต้องการสร้างบารมีเพื่อเข้านิพพานเหมือนกัน

จักรพรรดิจำนวนมากก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสร้างบารมี จักรพรรดิอีกจำนวนมาก แบบไม่ต้องจินตนาการ  ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์  แต่สร้างบารมีร่วมกับมนุษย์ 

จักรพรรดิ” เหล่านี้แหละคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บทความนี้หมายถึง  “จักรพรรดิ” เหล่านี้แหละที่เหล่ามนุษย์สามารถบูชาได้ และขอให้ช่วยเหลือได้ในบางเรื่อง ไม่ใช่ทุกเรื่อง

แต่การที่เราจะไปขอแบ่งบุญขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้น เราก็ต้องมีบุญติดตัวก่อนด้วยการสร้างบุญ

เหมือนเวลาที่จะไปขอให้คนอื่นเขาช่วยเหลือ อย่างน้อยต้องมีทุนของตัวเองบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทุนที่เป็นเงิน ทุนความรู้ความสามารถต่างๆ

ในเรื่องของบุญนั้น เมื่อเรามีบุญของตนเองแล้วแต่ไม่พอที่จะไปถึงสิ่งที่ปรารถนาหรือต้องการขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ตรงนี้ “มั่ว” ไม่รู้จะเขียนไปทำไม เขียนให้บทความมันยาวขึ้นหรือไง ก็ไม่รู้

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า และต้องรู้จักวิธีการติดต่อเชื่อมบุญกับท่านเราจึงจะนำพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้นมาใช้ได้

การเชื่อมบุญ” เป็นการรวบรวมทั้งบุญเก่าและใหม่เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อทำให้บุญนั้นเกิดพลังที่ใหญ่และมากพอ

เมื่อรวบรวมบุญได้มากพอแล้วก็จะทำ “การอธิษฐานจิตส่งบุญ” หรืออุทิศไปให้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้ไปทำการสักการบูชาก่อน เป็นการ “ให้” ก่อนที่จะ “รับ”

การเชื่อมบุญ นี่ก็น่าจะมั่ว คือ ถ้าเป็นการเชื่อมบุญของเราเอง เมื่อในอดีตกับปัจจุบัน ก็น่าจะเป็นไปได้   แต่การไปเชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น “เป็นไปไม่ได้

หากเราเคยมีบุญผูกพันกับเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่แล้วก็จะเป็นการง่ายยิ่งขึ้น เช่นบางคนที่กราบไหว้ผีบ้านผีเรือนหรือ ผีปู่ย่า เพราะมีสายสัมพันธ์กันมาแต่เดิม

หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เช่น องค์ท้าวมหาพรหม หรือ พระอรหันตสาวกที่เรืองฤทธิ์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านยังไม่เคยได้รู้จักเรามาก่อน

การเชื่อมบุญนี้เองจะทำให้ท่านได้รู้จักเรา ท่านจะได้โมทนาบุญนี้มาสู่เราและอำนวยพรให้เราได้สมตามความปรารถนา

ตรงนี้ก็มั่วมากเข้าไปอีก 

ท้าวมหาพรหมนั้น  ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธ เป็นของศาสนาพราหมณ์ จะศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่  ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว

สำหรับพระอรหันต์นั้น  ท่านไม่มายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์โลกแล้ว ท่านหมดหน้าที่ไปแล้ว ตอนนี้ท่านอยู่ในอายตนะนิพพาน 

การเชื่อมบุญก็เช่นเดียวกัน หากต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายท่านได้ช่วยเราก็ต้องทำตนให้ดีเสียก่อน และทำบุญส่งบุญไปให้ท่านเหล่านั้น

ขอย้ำอีกครั้งว่าต้องทำบุญให้มากๆ เสียก่อนไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะเอาบุญที่ไหนไปส่งให้ท่านได้

หลายท่านคงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ถ้าไม่มีบุญมากพอจะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อบุญได้มาถึงแล้วแม้เอาช้างมาฉุด หรือแม้แต่ฟ้าก็ไม่อาจขวางกั้นได้”

ตรงนี้ ไม่รู้ว่าใครช่วยใคร 

การทำบุญนั้น เป็นสิ่งดี เป็นสิ่งควรทำ  การทำบุญแล้ว ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อนุโมทนาบุญด้วยก็ควรทำ  แต่มันไม่ใช่วัตถุประสงค์ของบทความนี้ ที่ต้องการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย

บทความที่นำมาวิพากษ์วิจารณ์นั้น มีความยาวมากกว่านี้ แต่วิพากษ์วิจารณ์เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว

ถ้าถามว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจักรพรรดิสามารถช่วยเราได้จริงหรือไม่คำตอบก็เป็นดังนี้

ขอเปรียบเทียบโดยเอาตัวเราเป็นหลัก  สมมุติว่ามีใครมาขอความช่วยเหลือ เราจะช่วยเขาหรือไม่ และช่วยเขาในระดับใด

ในบางคน “เราไม่ช่วย”  บางคนเราช่วยบ้าง เท่าที่ช่วยได้  ในบางคนเราช่วยเต็มที่สุดกำลังของเราเอง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจักรพรรดิก็เช่นเดียวกัน

ในบางเรื่องราว จักรพรรดิท่านอยากจะช่วย แต่ท่านช่วยไม่ได้ เพราะเกินกำลังของท่าน ดังนั้น ตัวเราเองนี่แหละ ที่จะช่วยตัวเราเองได้

ตามพุทธภาษิต “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น